น้ำมันมะพร้าว (Coconut Oil)
น้ำมันมะพร้าวคืออะไร
น้ำมันที่ได้จากการสกัดจากเนื้อมะพร้าวหรือเนื้อในของผลมะพร้าว (Cocos nucifera) โดยมีทั้งแบบ สกัดเย็น (Extra Virgin Coconut Oil) ซึ่งได้จากการคั้นหรือบีบโดยไม่ใช้ความร้อน และ น้ำมันมะพร้าวสกัดด้วยความร้อน ซึ่งเป็นการใช้กระบวนการที่มีความร้อนเพื่อสกัดน้ำมันออกมา
ประเภทของน้ำมันมะพร้าว
มักใช้ในการประกอบอาหารที่มีอุณหภูมิสูงหรือปรุงอาหารที่ต้องการน้ำมันที่ไม่มีกลิ่นนประกอบ
น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น (Extra Virgin Coconut Oil)
เป็นน้ำมันมะพร้าวที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เพราะไม่ผ่านกระบวนการความร้อนหรือตัวทำละลายเคมี ทำให้คงสารอาหารสำคัญต่างๆ เช่น กรดไขมันที่มีประโยชน์ เช่น กรดลอริก (Lauric Acid)
ใช้สำหรับรับประทานหรือบำรุงผิวและเส้นผม
น้ำมันมะพร้าวสกัดด้วยความร้อน (Refined Coconut Oil)
ผ่านกระบวนการทำให้สะอาดและกรองแล้ว แต่สูญเสียสารอาหารบางส่วนในกระบวนการ
- น้ำมันที่สกัดจากเนื้อมะพร้าว (Cocos nucifera)
น้ำมันมะพร้าวช่วยเรื่องอะไรบ้าง?
- บำรุงผิวและเส้นผม: เพิ่มความชุ่มชื้น ลดอาการแห้งและแตกปลาย
- ช่วยเผาผลาญพลังงาน: มีกรดไขมันสายกลาง (MCTs) ช่วยเร่งการเผาผลาญ
- บำรุงหัวใจ: ช่วยเพิ่มคอเลสเตอรอลดี (HDL) และลดคอเลสเตอรอลไม่ดี (LDL)
- ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน: มีกรดลอริก (Lauric acid) ต้านเชื้อแบคทีเรียและไวรัส
- บำรุงสมอง: ช่วยเสริมสร้างความจำและป้องกันอัลไซเมอร์
- ช่วยลดน้ำหนัก: ช่วยให้รู้สึกอิ่มนาน ลดความอยากอาหาร
- บำรุงสุขภาพช่องปาก: ใช้ทำ Oil Pulling เพื่อลดเชื้อแบคทีเรียในปาก
- ช่วยรักษาแผลและลดการอักเสบ: ใช้ทาผิวเพื่อลดอาการแพ้และแผลไฟไหม้
น้ำมันมะพร้าวใช้อย่างไร
- รับประทาน: ดื่มวันละ 1-2 ช้อนโต๊ะ หรือนำไปปรุงอาหาร เช่น ใส่ในกาแฟ สมูทตี้ หรือสลัด
- บำรุงผิว: ทาน้ำมันมะพร้าวบนผิวเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น
- บำรุงผม: หมักผมด้วยน้ำมันมะพร้าว 30-60 นาที แล้วล้างออกด้วยแชมพู
- ทำ Oil Pulling: อมน้ำมันมะพร้าว 10-15 นาที แล้วบ้วนทิ้งเพื่อลดแบคทีเรียในปาก
- ใช้ปรุงอาหาร: ใช้แทนน้ำมันพืชในการทำอาหารทอด ผัด หรืออบ
ข้อแนะนำที่ควรระวัง
- ควรเลือกน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น (Extra Virgin Coconut Oil) เพื่อคงคุณค่าสารอาหาร
- ไม่ควรบริโภคในปริมาณมากเกินไป อาจส่งผลต่อระดับไขมันในเลือด
- ผู้ที่มีโรคไขมันในเลือดสูงควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน